วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 7:โมเด็มและการ์ดแสดงเสียง



การ์ดแสดงสัญญาณเสียง (Sound Card)
เป็นอุปรณ์สร้างและจัดการกับระบบเสียงทั้งหมดภายในเครื่ิองพีซี เช่น เล่นไฟล์เสียงในรูปแบบต่างๆ, เสียงดนตรีตามคำสั่งแบบ MIDI , บันทึกและแปลงเสียงลงเป็นไฟล์แบบดิจิตอล, ตลอดจนผสม (Mix) เสียงจากหลายๆแห่งที่มาเข้าด้วยกัน เป็นต้น
ส่วนประกอบของการ์ดเสียง
A*อินเตอร์เฟส เป็นส่วนที่เชื่อมต่อเข้ากับสล็อตบนเมนบอร์ด ปัจจุบันซาวด์การ์ดแทบทุกรุ่นจะใช้อินเตอร์เฟสที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบบัสแบบ PCI แทบทั้งสิ้น
B*Synthesizer เป็นชิปตัวประมวลผลหลักที่ทำหน้าที่สร้างหรือสังเคราะห์สัญญาณเสียงขึ้นมาตามคำสั่งที่ได้รับ โดยใช้การสังเคราะห์แบบ FM หรือแบบ Wavetable
C*Digital I/O Connector เป็นช่องที่ใช้เชื่อมต่อกับการ์ด Digital I/O
D*AUX Connector เป็นช่างที่ใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์จำพวกการ์ด TV Tuner หรือ MPEG2 Decoder เป็นต้น
E*Telephone Answering Device Connector เป็นช่องที่ใช้เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ Voice Modem เพื่อรับส่งและส่งสัญญาณเสียงกับโมเด็ม
F*Analog/Digital Out jack เป็นช่องที่ใช่เชื่อมต่อเข้ากับลำโพง Center และ Sub-woofer หรือใช้สัญญาณเสียงไปยังอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยระบบดิจิตอล
G*Line In jack เป็นช่องที่ใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกเเพื่อรับสัญญารเสียงเข้าสู้การ์ด เช่น เครื่องเล่นเทป และเครื่องเล่นมินิดิสก์ เป็นต้น
H*Microphone In jack เป็นช่องที่ใช้เสียบเข้ากับอุปกรณ์จำพวกไมโครโฟน เพื่อใช้ในการบันทึกเสียงหรือแปลงสัญาณเสียงไปเป็นไฟฟ้า (ลนาล็อก-สเตอริโอ)
I*Line Out jack เป็นช่องที่ใช้เชื่อมต่อเข้ากับชุดลำโพงแบบ 5.1 Channel โดยใช้เชื่อมต่อเข้ากับลำโพงคู่หลัง (ซ้าย-ขวา)
K*MID/Joystick Connector เป็นช่องที่ใช้เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ MIDI หรืออุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการเล่นเกมเช่น Joystick และบังคับพวกพวงมาลัย เป็นต้น

โมเด็ม (Modem)
เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร และรับส่งข้อมูลกันบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่อง โอยอาศัยตัวกลางจำพวกสายโทรศัพท์และสาย Fiber Optic ในการส่งผ่านข้อมูล หลักการทำงานโดยคร่าวของโมเด็มก็คือ เปลี่ยนข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาณดิจิตอลให้เป็นสัญญาณเสียงเพื่อให้สามารถส่งผ่านไปตามสายโทรศัพท์ได้ และในทางกลับกันก็รับเอาสัญญาณเสียงที่ถูกส่งผ่านมาตามสายโทรศัพท์จากโมเด็มอีกฟากหนึ่งมาแปลงกลับให้เป็นข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณดิจิตอลแบบเดิม ปัจจุบันโมเด็มที่มีวางขายและใช้งานกันโดยทั่วไป ถ่าแบ่งออกตามเทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลจะแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ

Dial-Up Modem (56K Dial-UP)
เป็นโมเด็มแบบอนาล็อคที่ใช้ในการรับส่งสัญญาณผ่านระบบโทรศัพท์แบบธรรดา เวลาเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในแต่ละครั้งจำเป็นจะต้องหมุนหมายเลขโทรศัพท์ไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เร็ต (ISP) ด้วย มาตราฐานล่าสุดที่ใช้กันในปัจจุบัน คือ V.92 ซึ่งให้ Bit Rate หรืออัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดที่ 56/33.6 Kbps (รับข้อมูลขาลงจากอินเทอร์เน็ต หรือ Download ที่ความเร็ว 56 Kbps และส่งข้อมูล ขาขึ้น Upload ที่ความเร็ว 33.6 Kbps)

ADSL Modem (High-Speed Internet)
เป็นโมเด็มแบบดิจิตอลที่ใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสารและรับส่งข้อมูลกันด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนคู่สายโทรศัพท์แบบะรรดา โดยเลือกใช่ย่านความถี่ที่ไม่มีในการใช้งานอินเทอร์เน็ต (โมเด็มแบบ Dial-Up ในระหว่างใช้งานอินเทอร์เน็ตจะำม่สามารถใช้โทรศัพท์ปกติไปพร้อมๆกันได้) อีกทั้งเวลาเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในแต่ละครั่ง ก็ไม่จำเป็นต้องหมุนหมายเลขโทรศัพท์เหมือนกับ 56k Dial-Up อีกด้วย ปัจจุบันเทคโนโยยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Hing-Speed Internet) และโมเด็มของ ADSL นี้กำลังเป็นที่นิยมและได้กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้งานกันโดยทั่วไป ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกใช้ความเร็วได้ตามต้องการจากผ๔้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) เช่น 256/128, 512/256 และ 1024/512 Kbps เป็นต้น โดยแต่ละความเร็วจะมีอัตราค่าบริการแต่กต่างกันไปสำหรับอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดด้วยระบบ ADSL ในปัจจุบันจะอยู่ที่ 8192/1024 Kbps หรือก็คือ รับส่งข้อมูลขาลงจาก ISP (Download) ด้วยความเร็วสูงสุด 16 Mbps และส่งข้อมูลขาขึ้นไปหา ISP (Uplpad) ด้วยความเร็วสูงสุด 1 Mbps
รูปแบบของโมเด็ม
โมเด็ม (Modem)

ประวัติModem
มนุษย์มีการติดต่อสื่อสารกันมาช้านาน และในปัจจุบันได้มีการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อช่วยให้การติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีในการสื่อสารหรือ โมเด็ม นั้นก็ได้พัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ โดยเริ่มตั้งแต่

ศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงที่ได้มีการพัฒนาเครื่องโทรเลขของเอดิสัน ที่สามารถพิมพ์ข้อมูลที่ได้รับออกเป็นจุดและขีดได้ทันที พร้อมกันนี้ก็ได้พัฒนาเป็นเครื่องโทรพิมพ์ หรือ TTY ขึ้นโดย Edward Kleinschmidt

ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 เครื่องโทรพิมพ์ได้พัฒนาโดยมีแป้นพิมพ์อยู่ในเครื่องเดียวกัน ซึ่งจะส่งข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์พิเศษ ความเร็วในการส่งข้อมูลอยู่ที่ ห้าสิบตัวอักษร/วินาที

ในปี ค.ศ.1958 ทาง AT&T ได้สร้างบริการ Dataphone ขึ้น ซึ่งได้นำเอาอุปกรณ์ที่ชื่อว่า Dataphone set หรือ โมเด็ม (Modem) มาใช้ในการส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่านตามสายโทรศัพท์ และมีความเร็วอยู่ที่ 300 BPS

โมเด็มตัวแรกของโลก ก็คือ โมเด็มรุ่น Bell Dataphone 103

โมเด็มที่มีขนาดเล็กตัวแรกของโลก คือ โมเด็มที่ออกแบบโดย Dale Heatherington

และในการพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ๆ นั้นมักจะออกมาจากสองบริษัท ก็คือ บริษัท Racal-Vadic และบริษัท AT&T โดยที่ทาง บริษัท AT&T ได้ผลิตโมเด็มรุ่น Bell 212a ส่วนบริษัท Racal-Vadic ได้ผลิตโมเด็มรุ่น 3400 ซึ่งมีความเร็วที่เท่ากัน คือ 1,200 BPS ต่อมาโมเด็มรุ่นใหม่ ๆ ที่มีการผลิตในยุโรปได้ใช้มาตรฐาน CCITT V.22 bis และมีความเร็วในการสื่อสารที่สูงกว่ารุ่นก่อน ๆ คือ 2,400 BPS และทางบริษัท CCITT ได้มีการพัฒนาโมเด็มออกมาเรื่อย ๆ และได้ออกมาตรฐานโมเด็มความเร็ว 9,600 BPS

ประมาณปี ค.ศ.1984 บริษัทต่าง ๆ ได้พัฒนาโมเด็มที่มีความเร็วสูงออกมา ซึ่งจะต้องใช้เทคนิคการผสมสัญญาณพิเศษหลายอย่างเพื่อที่จะส่งข้อมูลได้คราวละมาก ๆ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงสัญญาณเสียงได้เพียง 1,600 Baud ดังนั้นผู้ผลิตแต่ละรายจึงได้มีการพัฒนาเทคนิคการย่อข้อมูลการผสมสัญญาณ และวงจรส่วนควบคุมความถูกต้องของข้อมูลขึ้น จนถึงขั้นที่ใช้ชิปไมโครโปรเซสเซอร์เข้ามาควบคุมการทำงานของโมเด็ม

โมเด็มความเร็ว 9,600 BPS ตัวแรก ก็คือ โมเด็มของ Telebit รุ่น Trail Blazer ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์เบอร์ 68000 ของโมโตโรล่าทำงานกับ ROM 512K และ RAM 1MB

หลังจากนั้นไม่นาน บริษัท Hayes บริษัท U.S.Robotics และบริษัทอื่น ๆ ก็ได้มีการแข่งขันในด้านการพัฒนาโมเด็มให้มีความเร็วมากยิ่งขึ้น และได้มีการกำหนดมาตรฐานใหม่ ก็คือ V.32bis ซึ่งมีความเร็วในการส่งข้อมูลถึง 14,400 BPS และในปัจจุบันโมเด็มก็ได้มีการพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ

Modem คือ
โมเด็ม (Modem) ย่อมาจากคำว่า “ Modulation/Demodulation ” เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาล็อก (analog signal) ให้เป็นสัญญาณสัญญาณดิจิทัล (digital signal) ที่สามารถรับสัญญาณเข้ามาในโมเด็มได้ทั้งภาพ เสียง หรือสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งการทำงานของโมเด็มภายในจะส่งสัญญาณไปมาระหว่างเครื่องรับสัญญาณและเครื่องส่งสัญญาณ แต่สัญญาณที่เห็นนั้นจะเป็น 0 และ 1 จากนั้นโมเด็มก็จะแปลงสัญญาณกลับไปยังคอมพิวเตอร์อีกครั้งหนึ่ง กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก เรียกว่า มอดูเลชั่น (Modulation) โมเด็มที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่า โมดูเลเตอร์ (Modulator)
กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิทัล เรียกว่า ดีมอดูเลชั่น (Demodulation) โมเด็มที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่า ดีโมดูเลเตอร์ (Demodulator) สำหรับ สัญญาณอนาล็อกนั้นมีคุณสมบัติเหมาะที่จะส่งสัญญาณไปไกล ๆ มากกว่าสัญญาณแบบดิจิทัล นอกจากนี้ โมเด็ม ไม่สามารถที่จะทำงานด้วยตัวเองได้ ดังนั้นจึงต้องใช้โปรแกรม หรือซอฟต์แวร์สั่งการ ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ เรียกว่า โปรแกรมสื่อสาร ที่ติดตั้งมาพร้อมกับวินโดวส์ เช่น Dial-Up Network, Hyper Terminal และบริษัทซอฟต์แวร์ผลิตขึ้นจำหน่าย เช่น SuperVoice, Laplink, PcAnywhere
การแบ่งประเภทของโมเด็มมี 2 วิธี
1 การแบ่งโมเด็มโดยใช้ความเร็วในการส่งข้อมูลเป็นหลัก
2 การแบ่งโมเด็มตามรูปร่างและการติดตั้งใช้งาน
1.การแบ่งโมเด็มโดยใช้ความเร็วในการส่งข้อมูลเป็นหลัก
โดยแบ่งความเร็วของโมเด็ม ได้ดังนี้
โมเด็มความเร็วต่ำ (LOW - SPEED MODEM ) เป็นโมเด็มรุ่นแรกที่มีความเร็ว 300 บิตต่อวินาทีจนถึง 4,800 บิตต่อวินาที ซึ่งจะรับส่งข้อมูลได้เพียง 30 ถึง 480 ตัวอักษรต่อวินาที และใช้การผสมสัญญาณแบบเปลี่ยนความถี่ (Frequency Shift Keying – FSK) แทนค่าข้อมูลด้วย “0” และ “1”
แทนข้อมูล 1 ด้วยความถี่ต่ำ
แทนข้อมูล 0 ด้วยความถี่สูง
โมเด็มความเร็วปานกลาง (MEDIUM - SPEED MODEM) เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลประมาณ 9,600 ถึง 14,400 บิตต่อวินาที มีฟังก์ชั่นการทำงานพิเศษมากมาย เช่น การหมุนโทรศัพท์อัตโนมัติ การจดจำเบอร์โทรศัพท์ และการปรับจำนวนบิตที่รับส่งข้อมูลอัตโนมัติ โมเด็มความเร็วปานกลางนี้ใช้เทคนิคการผสมสัญญาณโดยเปลี่ยนแปลงมุมของช่วงคลื่น (Phase) และขนาดของสัญญาณ (Amplitude) ไปพร้อม ๆ กัน สามารถรับส่งข้อมูลได้ทั้งแบบสองทิศทาง Full Duplex และแบบทิศทางเดียว Half Duplex
โมเด็มความเร็วสูง (HIGH - SPEED MODEM) เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลตั้งแต่ 19,200 ถึง 28,800 บิตต่อวินาที หรือสูงกว่านั้น ใช้ฮาร์ดแวร์พิเศษ และมีการผสมสัญญาณที่ซับซ้อน ในหนึ่งลูกคลื่นของสัญญาณที่ส่งออกไปอาจมีจำนวนบิตข้อมูลผสมอยู่ถึง 9 บิต และยังสามารถรับส่งในแบบสองทิศทาง Full Duplex ส่วนฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ ของโมเด็มความเร็วสูงมีความใกล้เคียงกับโมเด็มความเร็วปานกลาง
โมเด็มความเร็วสูงพิเศษ เป็นโมเด็มที่มีความเร็ว 56 Kbps หรือ 56,000 บิตต่อวินาที ใช้ได้เฉพาะในบางพื้นที่ที่สายโทรศัพท์และระบบชุมสายสามารถส่งสัญญาณแบบดิจิทัลที่มีความถี่สูง
โมเด็มจะสร้างสัญญาณอนาล็อกซึ่งจะถูกแปลงเป็นสัญญาณดิจิทัลที่ชุมสายโทรศัพท์ด้วยวิธีการเก็บตัวอย่างสัญญาณ จากนั้นสัญญาณดิจิทัลจะส่งไปยังเครื่องเซริ์ฟเวอร์ (Server) ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่อของโมเด็มความเร็ว 56Kbps
แต่โมเด็ม 56 Kbps ไม่สามารถส่งข้อมูลที่ 56 Kbps ได้ทั้งรับและส่ง เพียงแต่รับข้อมูลที่เข้ามาเร็ว 56 Kbps และส่งออกที่ความเร็วเพียง 28,800 bps หรือ 33,600 bps เท่านั้น ส่วนโมเด็มทางด้านส่งก็จะปรับให้ส่งข้อมูลออกไปที่ความเร็ว 56 Kbps และรับเข้ามาที่ความเร็ว 28,800 bps หรือ 33,600 bps ตามมาตรฐาน V.34 สลับด้านกันกับโมเด็มด้านรับ

2.การแบ่งโมเด็มตามรูปร่างและการติดตั้งใช้งาน
สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้

โมเด็มแบบติดตั้งภายใน (Internal Modems)
ข้อดี      ไม่ต้องใช้ไฟเลี้ยงทำงานเร็วกว่า (สำหรับเครื่อง spec ต่ำ) ราคาถูกกว่า
ข้อเสีย    ติดตั้งยาก (ต้องถอด case)เสีย Slot และ IRQเพิ่มความร้อนภายใน

โมเด็มแบบติดตั้งภายนอก (External Modems)
ข้อดี      เคลื่อนย้ายได้สะดวก ติดตั้งง่าย ไม่เปลือง Slot
ข้อเสีย    เสีย Port ไปหนึ่ง Port ต้องใช้ไฟเลี้ยง

โมเด็มแบบการ์ด (PCMCIA)
ข้อดี      ขนาดเล็กกระทัดลัดเหมาะสำหรับการพกพา
ข้อเสีย    ราคาสูง
การเลือกซื้อ
โมเด็มเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ในระบบออนไลน์ (online) หรือการใช้บริการอินเทอร์เน็ต และในปัจจุบันนั้นโมเด็มมีหลายรูปแบบ รวมทั้งการติดตั้งใช้งานและมีความเร็วที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นในการเลือกซื้อและเลือกใช้งานนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก ดังนั้นในการเลือกซื้อโมเด็มจึงควรมีขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 ความเร็วของโมเด็ม
โมเด็มส่วนใหญ่ที่ใช้งานกันในปัจจุบันนี้มีความเร็วตั้งแต่ 28.8Kbps, 36Kbps หรือ 56Kbps ซึ่งความเร็วดังกล่าวเป็นความเร็วตามมาตรฐานที่กำหนดโดยสภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU (International Telecommunications Union) ดังนั้นในการเลือกซื้อโมเด็มนั้นถ้ามี ความเร็วยิ่งสูงยิ่งดี เนื่องจากช่วยลดเวลาในการเชื่อมต่อได้มาก โดยเฉพาะในการเชื่อมต่อที่ผู้รับและผู้ให้บริการมีโมเด็มที่มีความเร็วเท่ากัน คือ 56Kbps แต่โมเด็ม 56Kbps ก็ยังมีข้อจำกัดหลายประการ ดังนั้นในการเลือกซื้อยังจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อจำกัดของโมเด็ม 56Kbps ด้วย
ข้อจำกัดของโมเด็ม 56 Kbps
ถึงแม้ว่าโมเด็ม 56 Kbps จะทำให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วแต่เทคโนโลยีในปัจจุบันได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดข้อจำกัดหลาย ๆ ประการ ได้แก่
ไม่สามารถใช้ความเร็ว 56Kbps ได้เลยถ้ามีตัว Analog-to-Digital Conversation (A/D Conversation-ADC) มากกว่า 1 ตัวระหว่างบ้านกับ ISP ซึ่งจะทำให้ความเร็วที่ได้สูงสุดแต่ 33.6Kbps
ความเร็วที่ได้อาจจะไม่ได้สูงสุดที่ 56Kbps เสมอไป เพราะถ้าสายโทรศัพท์ที่สัญญาณรบกวนมาก จะทำให้ความเร็วที่ได้ลดลง ซึ่งโดยปกติจะได้ความเร็วที่ 40-50Kbps เท่านั้น
เนื่องจากการเชื่อมต่อของโมเด็ม 56Kbps เป็นแบบ Asymmetric ดังนั้นความเร็วสูงสุดที่ได้ คือ 56Kbps ซึ่งเป็นความเร็วสำหรับดาวน์โหลด (download) เท่านั้น ส่วนความเร็วที่ได้จากการอัปโหลด (upload)ยังคงสูงสุดที่ 33.6Kbps เท่าเดิม
โดยทางทฤษฎีแล้วสามารถใช้ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 56Kbps และในการใช้งานจริงแล้วความเร็วที่ได้จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของสายโทรศัพท์แต่ก็จะมีความเร็วประมาณ 56Kbps เท่านั้น
ISP ต้องการมีสายโทรศัพท์ดิจิทัลที่มีคุณภาพดีเชื่อต่อระหว่างโมเด็มของ ISP กับชุมสายโทรศัพท์
ขั้นตอนที่ 2 การเลือกประเภทของโมเด็ม ซึ่งโมเด็มที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นประกอบด้วย
แฟกซ์โมเด็ม (Fax Modems) อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งและรับข้อมูลได้เช่นเดียวกันเครื่องโทรสาร (FAX)
โมเด็มทำงานด้วยเสียง (Voice Enabled Modems) ซึ่งยอมให้เปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีเป็นเครื่องตอบรับโทรศัพท์ (Answering Machine) หรือ Speakerphone ได้อีกด้วย ถ้าหามีซอฟต์แวร์ที่ถูกต้อง รวมทั้งมีไมโครโฟน การ์ดเสียง และลำโพง
โมเด็มทำงานด้วยเสียง (Voice Enabled Modems) กับ แฟกซ์โมเด็ม (Fax Modems) มีราคาไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ถ้าหากเป็นโมเด็มที่ทำงานทั้งกับเสียง (Voice), โทรสาร (Fax) และข้อมูล (Data) แล้วจะมีราคาสูงมาก
สำหรับการเลือกโมเด็มประเภท “แฟกซ์โมเด็ม” นั้นมีประโยชน์เพิ่มเติมนอกเหนือจากโมเด็ม ดังนี้
สามารถส่งเอกสารจากเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าเครื่องแฟกซ์ และคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องพิมพ์ลงกระดาษก่อน ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องพิมพ์ ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา กระดาษและอุปกรณ์ในการพิมพ์
ความคมชัดของเอกสารที่ส่งจากเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าเครื่องแฟกซ์และคอมพิวเตอร์อื่น ๆ จะมีมากกว่าที่จะส่งจากเครื่องแฟกซ์อย่างมาก
เอกสารแฟกซ์ที่ได้รับเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถนำมาแก้ไข และตัดต่อได้ง่าย โดยใช้โปรแกรมต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์เข้าช่วย
ใช้เครื่องแฟกซ์เป็นเครื่องอ่านภาพ (Scanner) ได้ทันทีที่ติดตั้งแฟกซ์โมเด็มเสร็จ
ราคาถูกกว่าเครื่องแฟกซ์
ขั้นตอนที่ 3 การตัดสินใจเกี่ยวกับความต้องการระหว่างโมเด็ม โมเด็มแบบติดตั้งภายใน กับ โมเด็มแบบติดตั้งภายนอก
โมเด็มอาจต่อกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) โดยผ่านทางเอ็กซ์แพนชั่น สล็อต (Expansion Slot) ภายในระบบหรือผ่านทางพอร์ตอนุกรมภายนอก (External Serial Port) หรือพอร์ต PCMCIA
โมเด็มแบบติดตั้งภายใน (Internal Modems) ใช้งานได้สะดวกสามารถต่อโดยตรงกับ ISA Slot ภายใน นอกจากนี้ยังมีราคาถูกกว่าโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก (External Modems) ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและมีดวงไฟแสดงสภาวะการทำงาน
โมเด็มแบบติดตั้งภายนอก (External Modems) ส่วนใหญ่นั้นจะต่อผ่านทางพอร์ตอนุกรมมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่ออกแบบมาให้เสียบเข้ากับพอร์ตขนาน คอมพิวเตอร์แบบกระเป๋าหิ้ว (Portable Computer) มักต่อโมเด็มกับพอร์ตขนาน เนื่องจากปกติใช้พอร์ตอนุกรมซึ่งมีเพียงพอร์ตเดียวต่อกันเมาส์ โมเด็มทั้งสองแบบทั้ง โมเด็มแบบติดตั้งภายใน และโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก นั้น มีคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างกัน ดังนั้นในการเลือกใช้จึงจำเป็นที่จะต้องทำการเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างโมเด็มทั้งสอบแบบนี้
ประเภทของโมเด็ม 
           สำหรับการแบ่งประเภทของโมเด็มนั้นจะสามารถแยกออกมาได้ 2 ลักษณะใหญ่ๆ นั้นคือความเร็วในการส่งผ่านข้อมูล และรูปแบบ การติดตั้งใช้งาน
สำหรับประเภทของความเร็วนั้น จะสามารถ แบ่งออกได้ 4 ประเภทได้แก่ โมเด็มความเร็วต่ำ ที่นับว่า เป็นโมเด็มรุ่นแรกๆ ที่ออกมาโดยจะมีความเร็ว ตั้งแต่ 300bps จนถึง 4,800bps ประเภทที่สอง โมเด็มความเร็วปานกลาง โดยโมเด็มระดับนี้จะสามารถ ส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็ว 9,600bps ถึง 14,400bps พร้อมทั้งยังเพิ่มความสามารถในการใช้งานต่างๆ มากขึ้นด้วย และเป็นโมเด็มที่เริ่มมีการใช้เทคนิคการผสมสัญญาณ พร้อมทั้งการรับส่ง ข้อมูล ในแบบ Full Duplex และ Half Duplex และสามโมเด็มความเร็วสูง สำหรับโมเด็มประเภทนี้จะมีอัตราการับส่งข้อมูลตั้งแต่ 19,200bps ถึง 28,800bps มีการใช้เทคนิคการผสมสัญญาณที่สลับซับซ้อนมากกว่าโมเด็มความเร็วปานกลาง และโมเด็มแบบที่สี่ซึ่งเป็นแบบที่กำลังนิยมใช้กันอยู่ใน ปัจจุบันนั้นคือ โมเด็ม ความเร็วสูงพิเศษ มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 56,000bps หรือ 56Kbps ซึ่งเป็นโมเด็มที่มีการส่งสัญญาณในแบบ ดิจิตอลความเร็วสูง และโมเด็มประเภทนี้จะมีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือ ISP เข้ามาเกี่ยวข้อง
สำหรับประเภทของรูปแบบการติดตั้งใช้งานนั้น จะมีอยู่ 3 ประเภท ประเภทแรกจะเป็นแบบ Internal หรือแบบติดตั้งภายใน โมเด็มประเภทนี้จะมี ลักษณะเป็นการ์ด หรือแผงวงจร ที่จะติดตั้งภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์บริเวณสล็อต PCI ในปัจจุบัน ซึ่งข้อดีของโมเด็มลักษณะ นี้ก็ตรงที่จะประหยัด เนื้อที่ ภายนอก และมีราคาถูก แต่มักจะมีปัญหาตรงที่ติดตั้งใช้งานยุ่งยาก และตรวจดูสถานะการทำงานของโมเด็มได้ยาก
แบบที่สองโมเด็มติดตั้งใช้งานภายนอก External ซึ่งจะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม ประกอบไปด้วยอะแด็ปเตอร์ที่ใช้เชื่อมต่อกับไฟฟ้าภายในบ้านเอง โดยไม่ต้องใช้ไฟร่วมกับ เครื่องคอมพิวเตอร์เหมือน โมเด็มแบบติดตั้งภายใน ทำให้การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์เสถียรมากกว่า และผู้ใช้ยังสามารถ สังเกต การทำงานของโมเด็มจากไฟ แสดงสถานะบริเวณตัว เครื่องได้ง่ายกว่าด้วย โมเด็มแบบภายนอกสามารถแยกอินเทอร์เฟซ หรือพอร์ตที่ใช้ในการ เชื่อมต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้สองแบบ ได้แก่ อินเทอร์เฟซ แบบ Serial โดยโมเด็มแบบนี้จะเชื่อมต่อระหว่าง โมเด็มและเครื่องคอมพิวเตอร์โดย ใช้สาย RS-232 และจะมีอะแด็ปเตอร์ที่คอยจ่ายไฟให้กับตัวโมเด็ม ด้วย ส่วนอินเทอร์เฟซแบบ USB ก็อย่างที่รู้ๆ อยู่ว่าอินเทอร์เฟซแบบ USB นั้นสามารถที่จะใช้ไฟจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีอะแด็ปเตอร์ แบบที่สามโมเด็มแบบการ์ด PCMCIA สำหรับโมเด็มประเภท นี้จะมีลักษณะเป็นการ์ดขนาดเล็ก ที่เมื่อเวลาจะใช้งานจะต้องเสียบเข้ากับสล็อต PCMCIA ที่ปกติจะมีบนเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุก และโมเด็มประเภทนี้ จะมีราคาที่สูงมากกว่าโมเด็ม Internal และ External
มาตรฐานโมเด็ม
           สำหรับมาตรฐานของโมเด็มนั้น จะถูกกำหนดมาโดย International Telecommunication Union หรือที่รู้จักกันดี ITU ซึ่งหน่วยนี้จะเป็นหน่วย งาน ที่องค์การสหประชาชาติตั้งขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถ ใหม่ให้กับโมเด็ม สำหรับมาตรฐานใหม่และในปัจจุบันก็เป็นที่นิยมกันอย่างมากก็คือมาตรฐาน V.90 ที่มีความรวดเร็วในการเชื่อมต่อที่ 56Kbps แต่หลังจากนั้นก็ได้มีการกำหนดมาตรฐานใหม่ล่าสุดเป็น V.92 เพื่อเพิ่มความสามารถของโมเด็มให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยความสามารถใหม่นั้นจะมีอยู่ 3 อย่างด้วยกันนั้นคือ Quick Connect, Modem on Hold และ PCM Upstream
Quick Connect มีรูปแบบเพื่อให้สามารถทำการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ISP ได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม 50 เปอร์เซ็นต์
PCM Upstream ช่วยให้การอัพโหลดข้อมูลต่างๆ ทำได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจะสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 48,000bps โดยที่มาตรฐาน       V.90 เดิมทำได้เพียงแค่ 33,600bps
Modem on Hold ท่านเคยสังเกตไหมครับว่าเวลาใช้งานอินเทอร์เน็ต แล้วถ้ามีสายโทรศัพท์ เรียกเข้าในระหว่างใช้อินเทอร์เน็ต สายมักจะชอบหลุด แต่ด้วยเทคโนโลยีนี้จะทำให้ท่านสามารถรับโทรศัพท์เมื่อมีสายเรียกเข้า โดยที่ไม่ต้องออกจากการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต แต่ท่านจะต้องขอใช้บริการรับสายเรียกซ้อน จากผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่ท่านใช้ และทาง ISP จะต้องเปิดให้บริการมาตรฐาน V.92 ด้วย
           นอกจากโมเด็มในแบบอนาล็อกที่มีการส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็ว 56K ที่ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมากสำหรับคออินเทอร์เน็ตราคาถูก (ผมด้วย อิ..อิ) ปัจจุบันก็สามารถพัฒนาให้สามารถส่งผ่านข้อมูลในแบบดิจิตอลโดยตรง เพื่อให้การส่งผ่านข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลดข้อมูล (downstream) หรืออัปโหลดข้อมูล (upstream) ทำได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับรองรับการประชุมทางไกลทั้งภาพ และเสียง (VDO Conference) ที่กำลังนิยมใช้งานกันตามบริษัทด้วย สำหรับโมเด็มที่ออกมารองรับการใช้งานดังกล่าวนั้นก็จะมีออกมาใช้อยู่ 3 แบบ ได้แก่ Cable Modem, ISDN Modem และที่กำลังร้อนแรงในขณะนี้ ADSL Modem
Cable Modem
จะใช้การส่งสัญญาณข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายต่างๆ โดยใช้สายนำสัญญาณ เช่น สายเคเบิลใยแก้วนำแสง (iber Optic) และสายโคแอคเชียลมา ทำงานร่วมกันโดยจะเรียกระบบนี้ว่า HFC หรือ Hybrid Fiber Coaxial Network ความสามารถของเคเบิลโมเด็มก็จะมีตั้งแต่ สามารถดาวน์โหลด ข้อมูลได้สูงสุดถึง 10Mbps และอัปโหลดข้อมูลได้สูงสุดถึง 2Mbps และไม่มีปัญหาของสายหลุดในระหว่างการใช้งานเพราะ Cable Modem จะเป็นการเชื่อมต่ออยู่ตลอดเวลา แต่ค่อนข้าง จะมีพื้นที่ให้บริการที่จำกัดไม่ค่อยจะทั่วถึงถ้าเกิดมีจำนวนผู้ใช้มากขึ้นก็จะทำให้ความเร็วลดลง และไม่มีค่อย ความปลอดภัยของข้อมูลในระหว่างการใช้งานด้วย
ISDN Modem หรือ Integrated Services Digital Network
ได้รับการพัฒนาเพื่อมารองรับการส่งผ่านข้อมูลประเภทภาพ และเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต เช่นการประชุมทางไกล, Video streaming, Video Conference สามารถสนับสนุนความเร็วได้ตั้งแต่ 57.6Kbps-128Kbps ซึ่งรูปแบบที่ให้บริการสำหรับ ISDN นั้นจะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ
ประเภทแรก Basic Access Interface หรือ BRI การเชื่อมต่อแบบนี้จะเหมาะกับผู้ใช้ในทุกๆ ระดับ ตั้งแต่ผู้ใช้ตามบ้านจนไปถึงองค์กรธุรกิจ ขนาดใหญ่ โดยสายสัญญาณที่นำมาใช้ก็จะเป็นสายโทรศัพท์ธรรมดาซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนกันระหว่างชุมสายของผู้ใช้บริการ และผู้ใช้ ISDN และ ISDN จะใช้ช่องสัญญาณทั้งหมด 2 ช่องโดยแต่ละช่องจะสามารถส่งผ่านข้อมูลได้สูงสุดที่ 64Kbps ฉะนั้นจึงรวมเป็น 128Kbps
ประเภทที่สอง Primary Rate Interface หรือ PRI ส่วนแบบนี้จะเหมาะกับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการช่องสัญญาณขนาดใหญ่เพื่อรองรับกับข้อมูลจำนวนมากๆ ส่วนสายสัญญาณที่ใช้นั้นจะมีอยู่ 2 แบบ โดยแบบแรกนั้นจะใช้สาย Fiber Optic ซึ่งผู้ให้บริการมักจะติดตั้งสายประเภทนี้ไว้ตามสถานที่สำคัญ ทางธุรกิจ เพราะความสามารถจากสาย Fiber Optic ที่สามารถรักษาความปลอดภัยในระหว่างการส่งผ่านข้อมูลได้มากกว่า สำหรับสายแบบที่สองนั้น ก็จะใช้กับพื้นที่บริการที่ไม่สามารถวางสาย Fiber Optic ได้ โดยจะใช้เป็นสายโทรศัพท์ หรือสายทองแดงแทน แต่จะติดตั้งอุปกรณ์ HDSL ISDN รูปแบบนี้จะมีจำนวนของช่องสัญญาณถึง 30 ช่อง โดยในแต่ละช่องก็จะมีขนาดความกว้างของช่องสัญญาณเหมือนกับประเภท BRI คือ 64Kbps ฉะนั้นเมื่อรวมทั้งหมดก็จะได้ขนาดของช่องสัญญาณที่ส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็วสุงสุดถึง 2.048Mbps หรือประมาณ 2Mbps

ADSL Modem หรือ Asymmetric Digital Subscriber Line
การเชื่อมต่อในแบบ ADSL ที่นับเป็น นวัตกรรมการส่งข้อมูลสายโทรศัพท์พื้นฐานเป็นที่นิยมมากที่สุด โดยจะมีอัตราในการส่งข้อมูลดาวน์โหลดสูงสุดที่ 8Mbps และอัปโหลดข้อมูลที่ 1Mbps เทคโนโลยีนี้ยังมีความสามารถในการแบ่งรหัสสัญญาณ ข้อมูลเสียงโดยการแยกความถี่ของเสียง ที่มีความถี่ไม่ เกิน 4KHz ออกจากความถี่ของสัญญาณข้อมูลที่มีความถี่ตั้งแต่ 2MHz โดยอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแบ่งความถี่นี้จำเป็นที่จะต้องนำมาติดตั้งร่วมกับ ADSL โมเด็ม อุปกรณ์ที่ว่านี้เรียกว่า Pots Splitter ซึ่งจะติดตั้ง อยู่ทั้งชุมสายโทรศัพท์ และผู้ใช้ ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถ ใช้โทรศัพท์ร่วมกันได้ใน ระหว่างที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต Pots Splitter จะมีลักษณะคล้ายกับเต้าเสียบโทรศัพท์ตามบ้านทั่วๆ ไปที่จะมีพอร์ตคอนเน็กเตอร์หัว RJ-11 อยู่ 2 ช่อง โดยจะมีช่องหนึ่งไว้ให้สำหรับเสียบเข้ากับโมเด็ม และช่องที่เหลืออีกช่องเอาไว้ให้สำหรับเสียบเข้ากับเครื่องโทรศัพท์
           อะไรที่ทำให้คออินเทอร์เน็ตทั้งหลายในปัจจุบันจึงนิยมติดตั้ง ใช้งาน อินเทอร์เน็ตในแบบ ADSL อย่างแรกก็คือความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อ ผู้ใช้สามารถที่ Access ใช้งานทันทีโดยที่ไม่ต้องหมุนโทรศัพท์เหมือนโมเด็ม ISDN เพราะ ADSL จะทำการเชื่อมต่ออยู่ตลอดเวลา (Always-On-Access) สายสัญญาณ ADSL ยั เป็นอิสระในการใช้งานโดยที่ไม่ได้ไปแชร์สายสัญญาณ เหมือนCable Modem นั้นผู้ใช้จึงมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้
ประเภท และแนวทางในการเลือกซื้อ ADSL โมเด็ม สำหรับ ADSL โมเด็มจะมีให้เลือกใช้อยู่ 2 ประเภทเหมือนกับโมเด็มในแบบอนาล็อก คือ แบบที่ติดตั้งใช้ งานภายใน และแบบที่ติดตั้งใช้งานภายนอก
แบบที่ติดตั้งใช้งานภายใน โมเด็มแบบนี้จะติดตั้งกับสล็อต PCI ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งลักษณะที่เหมือนกับโมเด็มอนาล็อกทั่วๆ ไป แบบนี้ จะเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการประหยัดเนื้อที่การทำงานภายนอก และประหยัดค่าใช้จ่าย

แบบที่ติดตั้งใช้งาน ภายนอก ADSL โมเด็มแบบนี้จะมีอินเทอร์เฟซอยู่ 2 แบบ คือ แบบแรกนั้นจะเป็นอินเทอร์เฟซ USB ส่วนแบบที่สองจะเป็น อินเทอร์เฟซ แบบ RJ-45 หรือพอร์ตแลน ซึ่งโมเด็มทั้งสองแบบก็จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป อย่างเช่นแบบ USB จะติดตั้งใช้งานได้ง่าย มีราคาถูก แต่ถ้าต้องการจะแชร์เพื่อให้เครื่องอื่นๆ ได้ใช้อินเทอร์เน็ต ด้วยจะทำได้อยากเพราะโมเด็มแบบ USB ไม่ ได้ทำการติดตั้งพอร์ต RJ-45 มาให้ไว้เชื่อมต่อ ระบบแลน แต่ถ้านำไปใช้เชื่อมต่อเพียงแค่เครื่องเดียวก็น่าจะเป็น การประหยัดค่าใช้จ่าย มากกว่าที่จะนำ ADSL โมเด็มที่สนับสนุนอินเทอร์เฟซ RJ-45 มาติดตั้งใช้งาน

แสดงการเชื่อมต่อใช้งาน
Wireless ADSL Router
ADSL Router
แสดงอินเทอร์เฟซด้านหลังเครื่อง
Pots Splitter
           ปัจจุบันความนิยมใช้ ADSL โมเด็มเริ่มลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ใช้ตามองค์กร หรือบริษัทที่ต้องการความปลอดภัยข้อมูลมักจะนิยมเอา ADSL เราท์เตอร์ มาใช้งานแทนกันมากขึ้น ก่อนที่ ADSL เราท์เตอร์ ยังไม่ได้มีการพัฒนานำออกมาใช้นั้น ผู้ใช้พวกนี้ส่วนมากจะเชื่อมต่อเราท์เตอร์กับโมเด็มเข้า ด้วยกันเพื่อกลั่น กรองข้อมูลต่างๆ ก่อนที่จะมีการส่งผ่านเข้ามาในระบบภายใน เพื่อป้องกันภัยอันตรายต่างๆ จาก ภายนอกส่งผ่านเข้ามาทางอินเทอร์เน็ต ADSL เราท์เตอร์ นั้นค่อนข้างจะมีราคาที่สูงกว่า ADSL โมเด็มอยู่มาก เพราะจาก อินเทอร์เฟซ RJ-45 ที่สามารถติดตั้งมาให้ได้มากกว่าสูงสุดถึง 4 พอร์ต แถมบ้างตัวยังสนับ สนุน Auto-Uplink ที่จะเชื่อมต่อไปสู่อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เราท์เตอร์ ฮับ สวิทซ์ จากพอร์ตใดก็ได้ สังคมระบบเครือข่ายไร้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และก็เริ่มจะ มีความนิยมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ดังนั้น ADSL เราท์เตอร์ในปัจจุบันจึงถูกพัฒนาให้สามารถทำงานแบบไร้สายได้ด้วย พร้อมที่ยังรองรับการ เชื่อมต่อแบบ อีเทอร์เน็ตใช้สายแบบเดิมด้วย โดยจะมีมาตรฐานไร้สายที่รองรับ การใช้งาน IEEE 802.11b ที่เป็นมาตรฐานเดิม และ เป็นที่นิยมใช้งานกันมากในบ้านเรา และ IEEE 802.11g ที่เป็นมาตรฐานไร้สายใหม่ที่กำลังเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ซึ่งการทำงานของทั้งสองแบบจะทำงานความถี่ 2.4GHz สำหรับราคาแบบไร้ สายนี้จะสูงมากดังนั้นถ้าไม่จำเป็นที่จะใช้งานจริงๆ ก็น่าจะหันไปเล่นแบบใช้สายก่อนก็จะประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากครับ
การเลือกซื้อโมเด็ม
นับถอยหลังกลับไปตั้งแต่ที่โมเด็มรุ่น Bell Dataphone 103 โมเด็มตัวแรกของโลกได้ถือกำเนิดขึ้นมา ในยุคนั้นก็สามารถสร้างความ ตื่นเต้นได้มาก ถึงแม้ว่าความเร็วในการส่งผ่านข้อมูล ในยุคนั้น จะไม่รวดเร็ว เหมือนกับในปัจจุบันที่มีความสามารถส่งผ่านข้อมูลได้ทั้ง ภาพ และเสียงด้วยความเร็วสูง การพัฒนาโมเด็มอาจจะไม่รวดเร็วเหมือนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตัวอื่นๆ แต่เทคโนโลยีโมเด็มก็มีแต่จะ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง
                อินเทอร์เน็ตนับว่าเป็นระบบเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่สามารถย่อโลกทั้งโลกให้มาอยู่ในที่เดียวกัน พร้อมกันนั้นการพัฒนาในด้านเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตก็มี การเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มีการขยายวงกว้างสังคม ของอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ และก็คงจะไม่มีวันมีที่สิ้นสุด ลองคิดเล่นๆ กันดูว่า ถ้าวันหนึ่งอินเทอร์เน็ตสามารถที่จะรวบรวมเอาความรู้ และข้อมูลทั้งหมดที่มนุษย์จะสามารถคิดค้นออกมาได้ รวมทั้งยังเป็นช่องทาง การสื่อสารหลักขนาดใหญ่ ที่ผู้คนในยุคนั้นใช้เชื่อมโยงเข้ากัน ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ การค้าขาย หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ของคนต่างชนชาติ ก็จะทำให้วงกว้างของระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ตก็มีแต่จะเจริญเติบโตและคงจะไม่มีที่สิ้นสุด แต่อย่างไรก็ตามการเจริญเติบโตของ อินเทอร์เน็ตก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าขาดอุปกรณ์เชื่อมต่อเพื่อเข้า ถึง (Access) อย่างโมเด็ม (Modem)
                Modulation หรือเรียกอีกอย่างว่า Modem เป็นอุปกรณ์ที่ทีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เปลี่ยนเป็นสัญญาณดิจิตอล เพื่อให้สามารถ รองรับการส่งสัญญาณข้อมูลที่เป็นทั้งภาพ และเสียงผ่านสายโทรศัพท ์พื้นฐานทั่วไป ซึ่งโดยปกติแล้วสายโทรศัพท์จะถูกออกแบบให้ สามารถส่งสัญญาณแบบ อนาล็อก หรือสัญญาณของเสียงเท่านั้น ดังนั้นโมเด็มก็เลยจะประกอบไปด้วยหน้าที่สำคัญ 3 ส่วนได้แก่ หนึ่งส่วนที่เปลี่ยนสัญญาณดิจิตอล ให้เป็นสัญญาณ อนาล็อกเพื่อให้สามารถส่งผ่านข้อมูลต่างๆ ไปยังสายโทรศัพท์ได้ สองส่วนที่เปลี่ยนสัญญาณอนาล็อก ที่ถูกส่งกลับมาจากสายโทรศัพท์ให้เปลี่ยนเป็นสัญญาณ ดิจิตอล เพื่อนำไปใช้งานต่อไป และสามส่วนที่ดูแล และความคุมการทำงาน Digital Interface
การติดตั้งโมเด็ม (ถ้ามีการติดตั้งโมเด็มอยู่แล้วท่านข้ามขั้นตอนนี้ได้เลย)
โดยทั่วไปโมเด็มแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ Internal และ External และมีขั้นตอนในการติดตั้งดังนี้
External Modem หรือ เรียกว่าโมเด็มภายนอก
ขั้นตอนการเตรียมและติดตั้งอุปกรณ์ อุปกรณ์ที่จำเป็นประกอบด้วย
1. โมเด็ม และอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็น เช่น สายสัญญาณ , ตัวแปลงไฟ , ไดรว์เวอร์
2. โทรศัพท์สายตรง 1 หมายเลข
ต่อสายโมเด็มเข้าด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยต่อเข้ากับพอร์ต com1, com2 หรือ LPT1 อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อสายโทรเข้ากับโมเด็มตรงช่อง Line ในกรณีที่ท่านต้องการรับโทรศัพท์สายนอกที่โทรเข้ามาให้ท่านต่อ สายโทรศัพท์อีกเส้นจากตัวโทรศัพท์ไปที่โมเด็มตรงช่อง Phone (หมายเหตุ ถ้าท่านกำลังใช้อินเตอร์เน็ตอยู่แล้วมีคนโทรเข้ามา จะมีผลให้การติดต่ออินเตอร์เน็ตหลุดทันที) เสร็จแล้วให้ต่อตัวแปลงไฟ (adapter) และเสียบปลั๊กพร้อมเปิดสวิชต์โมเดมให้เรียบร้อย เมื่อต่ออุปกรณ์ต่างๆ เสร็จแล้วให้เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนการติดตั้ง Driver (Software Modem) มีดังนี้
- เรียกหน้าต่าง Control Panel ขึ้นมาโดยคลิกปุ่ม Start > Settings > แล้วเลื่อนเมาส์มาที่ Control Panel คลิกเมาส์หนึ่งครั้ง สำหรับผู้ที่ใช้ Windows 95 หรือ 98 ก็ทำลักษณะเดียวกัน ดังรูป

- หลังจากเข้ามาในหน้าต่าง Control Panel แล้วดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน Add New Hardware สำหรับผู้ที่ใช้วินโดวส์ 95 หรือ 98 ถึงแม้หน้าต่างของ Control Panel จะแตกต่างออกไปแต่ยังใช้ไอคอนเดียวกัน ดังรูป


- หลังจากนั้นจะขึ้นหน้าต่างในการเตรียมพร้อมเพื่อติดตั้งให้คลิกเมาส์ปุ่ม Next > ดังรูป 1.3 เสร็จแล้ววินโดวส์จะขึ้นหน้าต่างใหม่ขึ้นมาเพื่อแจ้งว่าวินโดว์จะค้นหาฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่แล้วบนเครื่องของท่านให้คลิกปุ่ม Next > ดังรูป


- ถ้าวินโดว์เจอฮาร์ดแวร์ที่อยู่บนเครื่องของท่านและยังไม่ได้ติดตั้งไดรว์เวอร์ วินโดว์จะขึ้นหน้า
จอถามว่าท่านต้องการติดตั้งฮาร์ดแวร์ที่วินโดว์เจอหรือไม่ ซึ่งจะมีช้อยให้เลือกว่า จะตอบ No หรือ Yes ให้ท่านตอบ No แล้วคลิกปุ่ม Next > ดังรูป


- เสร็จแล้วจะขึ้นหน้าต่างถามว่าท่านต้องการให้วินโดว์ค้นหาฮาร์ดแวร์ที่จะติดตั้งหรือไม่ ให้ตอบ No แล้วคลิกปุ่ม Next > ดังรูป



- หลังจากนั้นจะมีหน้าต่างให้เลือกว่า ท่านจะติดตั้งอะไร ให้เลือก โมเด็ม แล้วคลิกปุ่ม Next > ดังรูป


- หลังจากนั้นจะมีหน้าต่างให้เลือกชนิด และความเร็วของโมเด็ม แต่ให้คุณคลิกปุ่ม Have Disk
ดังรูป เสร็จแล้วจะขึ้นหน้าต่างให้ใส่ที่อยู่ของไดรว์เวอร์ที่จะติดตั้ง เช่น ไดรว์ A: หรือ ไดรว์ D: เป็นต้น หรือจะคลิกปุ่ม Brows เพื่อหาไดรว์เวอร์ เมื่อเลือกไดรว์ทเสร็จแล้วให้คลิก OK ตามลำดังเมื่อเลือกไดรว์เสร็จ หลังจากนั้นวินโดวส์จะทำการอ่านและก๊อปปี้ไฟล์ที่จำเป็นในการติดตั้งจากแผ่นดิสก์ หรือ ซีดีรอมลงในเครื่อง ถึงขั้นตอนนี้วินโดวส์อาจจะถามหาไฟล์จากแผ่นซีดี Windows 95,98 ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเตรียมไว้ด้วย


เสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม Next> จะเห็นหน้าต่างที่แสดงถึงการเสร็จสิ้นการติดตั้งแล้วให้คลิกปุ่ม Finish ถือว่าจบขั้นตอนการติดตั้ง Modem แต่หน้าจอถามให้ใส่รายละเอียดของ ประเทศ ให้เลือกประเทศไทย และหมายเลข Area Code คือ 02 เสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม Next>
เสร็จแล้วจะมีหน้าต่างขึ้นมาเพื่อบอกว่าท่านได้ทำการติดตั้งโมเด็มเสร็จแล้ว คลิกปุ่ม Finish ถือว่าเสร็จขั้นตอน ดังรูป


Internal Modem หรือเรียกว่าโมเด็มภายใน
จะอยู่ในรูปของการ์ด หรือ อยู่บน Mainboard ของ เครื่องหรือที่เรียกว่า on board ส่วนมากจะถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็น Plug & Play หมายความว่าถ้าท่านเสียบโมเด็มเข้ากับแผงระบบของคอมพิวเตอร์ (Main Board) แล้ว ซีพียูจะรับรู้และเข้ามาตรวจเช็คภายหลังจากตรวจหน่วยความจำหลัก ถ้าโมเด็มของท่านวินโดว์ไม่รู้จักท่านต้องติดตั้งเหมือนกับ การติดตั้งโมเด็มภายนอก โดยมีขั้นตอนดังนี้อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. โมเด็ม จะอยู่ในรูปของการ์ด หรือ อยู่บนบอร์ด (on board) ก็ได้ ถ้าท่านไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน
สอบถามจากร้านที่ซื้อคอมพิวเตอร์ และให้ติดตั้งโมเด็มให้เรียบร้อย
2. โทรศัพท์สายตรง 1 หมายเลข พร้อมเสียบสายเข้ากับโมเด็มตรงช่อง Line และ เสียบสายอีกเส้นจากโมเด็มตรงช่อง Phone เข้าเครื่องรับโทรศัพท์
- เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่ปัญหาอะไรในระหว่างเข้าหน้าจอวินโดว์ๆ จะตรวจเช็คได้ว่ามีฮาร์ดแวร์ตัวใหม่อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ และถามว่าท่านต้องการจะติดตั้งหรือไม่ ให้ติดตั้งโดยติดตั้งไดรว์เวอร์จากไดรว์ A: หรือ ไดรว์ D: หรือที่อื่นๆ เมื่อติดตั้งเสร็จวินโดว์จะถามว่าจะให้ reset เครื่องใหม่หรือไม่ ให้คลิกปุ่ม Yes เสร็จแล้วเครื่องบูตใหม่ถือว่าเป็นเสร็จสิ้นการติดตั้ง

การ์ดเสียง หรือ ซาวน์การ์ด (อังกฤษ: sound card) คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่แปลงข้อมูลดิจิทัลที่เก็บรายละเอียดเกี่ยวกับเสียงต่าง ๆ แปลงเป็นสัญญาณเสียงในรูปแบบสัญญาณทางไฟฟ้า
การ์ดเสียง (Sound card) เสียงเป็นส่วนสำคัญของระบบมัลติมีเดียไม่น้อยกว่าภาพ ดังนั้นการ์ดเสียงจึงเป็นอุปกรณ์ จำเป็นที่สำคัญของระบบ คอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย การ์ดเสียงได้รับการพัฒนาคุณภาพอย่างรวดเร็วเพื่อ ให้ได้ประสิทธิภาพของเสียงและความผิดเพี้ยน น้อยที่สุด ตลอดจนระบบเสียง 3 มิติในปัจจุบัน ความชัดเจน ของเสียงจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ อัตราการสุ่มตัวอย่าง และ ความแม่นยำ ของตัวอย่างที่ได้ ซึ่งความแม่นยำของตัวอย่างนั้นถูกกำหนด โดยความสามารถของ A/D Converter ว่ามีความ ละเอียดมากน้อยเพียงใด ทำอย่างไรจึงจะประมาณ ค่าสัญญาณดิจิตอลได้ใกล้เคียงกับสัญญาณเสียงมากที่สุด ความละเอียดของ A/D Converter นั้นถูก กำหนด โดยจำนวนบิตของสัญญาณดิจิตอลเอาต์พุต เช่น - A/D Converter 8 bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 256 ระดับ - A/D Converter 16 bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 65,536 ระดับ หากจำนวนระดับมากขึ้นจะทำให้ความละเอียดยิ่งสูงขึ้นและการผิดเพี้ยนของสัญญาณเสียงยิ่งน้อยลง นั่นคือ ประสิทธิภาพที่ของเสียง ที่ได้รับดีขึ้นนั่นเอง แต่จำนวนบิตต่อหนึ่งตัวอย่างจะมากขึ้นด้วย
ส่วนประกอบของการ์ดเสียง
การ์ดเสียงเกิดจากการนำเอาอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์มาประกอบรวมกันบนแผง PCB (Print Circuit Board) โดยมี ชิปที่เป็นอุปกรณ์หลักในการสร้างเสียงคือ Synthesizer ซึ่งในปัจจุบันมักเป็นแบบ wave table โดยผู้ผลิตชิปสังเคราะห์ เสียงที่มีชื่อเสียง คือ ESS และ Yamaha ส่วนอื่นจะเป็นช่องต่อสำหรับนำสัญญาณเข้า-ออก เพื่อทำงานด้านเสียง
1. คอนเน็คเตอร์ CD Audio เป็นส่วนที่อยู่ในเครื่อง เพื่อรับสัญญาณเสียงแบบอนาล็อกจากไดร์ฟซีดีรอมผ่านสายเชื่อม ต่อที่มี 4 ช่อง สำหรับนำมาเสียบเข้ากับตัวคอนเน็คเตอร์ การเสียบผิด ด้านไม่ทำให้เสียหายแต่จะเป็นการสลับช่องสัญญาณออก สู่ ลำโพงซ้าย-ขวา เท่านั้น
2. ชิปสังเคราะห์เสียง หรือ Synthesizer ในยุคแรกเป็นแบบ FM ที่เรียกว่า Frequency Modulation เป็นการ สังเคราะห์เสียงแบบผสมความถี่ซึ่งไม่นิยมใช้ ปัจจุบันนี้ เพราะไม่สามารถให้เสียงที่เป็นธรรมชาติเหมือนเครื่องดนตรีจริงได้ WaveTable เป็นวิธีการสังเคราะห์เสียงที่นิยมใช้กันมากที่สุด ในยุคปัจจุบันเนื่องจากสามารถให้เสียงได้ใกล้เคียงกับเครื่อง ดนตรีจริงมากที่สุด ซึ่งวิธีการคือ บันทึกเสียงเครื่องดนตรีจริงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดไว้เป็นช่วงสั้น ๆ เพื่อเก็บไว้เป็นต้น แบบไปหาจากเสียงต้นแบบในตารางเสียงที่มีความถี่เดียวกันมา การ์ดเสียงที่ใช้วิธีการนี้ จึงให้เสียงเหมือนกับมีเครื่องดนตรี บรรเลงอยู่จริง ๆ
3. ช่อง Line - out (สีชมพู) ช่องต่อนี้จะมีเฉพาะการ์ดเสียงแบบ 4 แชนแนล ใช้สำหรับต่อสัญญาณเสียง ไปยังลำโพง แบบ Surround ซ้าย-ขวา
4. ช่อง Line - in (สีน้ำเงิน) สำหรับรับสัญญาณเสียงจากอุปกรณ์กำเนินเสียงอื่น เช่น เครื่องเล่นวิทยุ - เทป เครื่องเล่นซีดี ฯลฯ เข้ามาที่การ์ดเพื่อขยายสัญญาณเสียง หรือแสดงผลที่เครื่องของเรา
5. ช่อง Speaker (สีเขียว) สำหรับส่งสัญญาณเสียงจากการ์ดเสียงออกไปยังลำโพงปกติในแบบสเตอริโอ
6. MIDI/Game Port เป็นคอนเน็คเตอร์รูปตัว "D" ใช้ต่อพ่วงอุปกรณ์ประเภท MIDI หรืออุปกรณ์สำหรับเล่นเกม เช่น จอยสติก เกมแพด ฯลฯ


ชนิดของการ์ดเสียง (Sound Card) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งแบ่งชนิดออกตามอดีตถึงปัจจุบัน ได้แก่

1. การ์ดเสียง (Sound Card) แบบ ISA  ซึ่งผลิตออกมานานแล้วจะใช้ร่วมกับเมนบอร์ดรุ่นเก่าที่มีสล็อต ISA  ระบบเสียงยังไม่ได้คุณภาพ  แต่ก็เป็นการ์ดเสียง ที่ได้รับการนิยมในสมัยอดีด แต่ในปัจจุบันการ์ดเสียงแบบ ISA ไม่มีแล้ว

        รูปภาพ 3 แสดงการ์เสียง (sound Card) ที่เป็นแบบ ISA 

2. การ์ดเสียง (Sound Card) แบบ PCI  เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถสังเคราะห์เสียงได้อย่างมีคุณภาพและมีราคาไม่แพงมากแต่ก็มีราคาแพงในบางรุ่น สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ

        รูปภาพ 4 แสดงการ์เสียง (sound Card) ที่เป็นแบบ PCI


3. การ์ดเสียง (Sound Card) แบบ External  ชนิดของการ์ดเสียง (Sound Card) แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท แต่ที่จัด การ์ดเสียง (Sound Card) แบบ External ออกเป็นประเภทที่ 3 ก็เพราะว่าการ์ดเสียงแบบนี้เริ่มมีให้เห็นกันมากขึ้น  อีกทั้งยังมีการติดตั้งที่แตกต่างจาก การ์ดเสียง (Sound Card) ที่บอกมาข้างต้นด้วย โดยสามารถที่จะติดตั้งโดยผ่านทางพอร์ต USB ทำให้ในการใช้งานนั้นสามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น 
 การติดตั้งการ์ดเสียง
การติดตั้งการ์ดเสียง (Sound Card) จะทำการติดตั้งอยู่บนสล๊อต PCI  นำสายสัญญาณเสียงที่ต่อออกมาจากช่องจ่ายสัญญาณเสียงของซีดีรอม เสียบขั้วของสายสัญญาณเสียงเข้ากับช็อกเกตบนการ์ดเสียง ซึ่งบนตัวของช็อกเกตจะต้องมีข้อความบอกว่า CD-IN  คือเป็นการรับสัญญาณเสียงมาจากซีดีรอมนั่นเอง
จากนั้นเสียบการ์ดเสียงลงบนสล๊อต  PCI   โดยให้ร่องที่อยู่บนการ์ดนั้นตรงแกนที่อยู่บนสล๊อต  กดการ์ดเสียบลงไปให้แน่น ใช้ไขควงขันน็อตยึดแผ่นเหล็กของการ์ดเข้ากับตัวเคส เพื่อป้องกันไม่ให้การ์ดหลุดเมื่อมีการถอด และเสียบต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ  เข้ากับคอนเน็คเตอร์ของการ์ด
หลักการเลือกซื้อ Sound Card
          ในการเลือกซื้อ Sound Card ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆดังนี้
          1. การพิจารณาเทคโนโลยี ที่สนับสนุน เนื่องจากมาตรฐาน ของเทคโนโลยี ทางด้านการ สังเคราะห์ เสียง ได้พัฒนา ไปจากแต่เดิม ซึ่งปัจจุบัน เน้นมาให้ ความสำคัญ กับระบบเสียง 3 มิติที่มีความลึก และ ความกว้าง ให้เสียงที่สมจริง ระบบเสียง 3 มิตินี้ ถูกออกแบบมา เพื่ออรรถรส ในการเล่นเกมส์ โดยเฉพาะ ดังนั้น หากคุณ ไม่ใช่คอเกมส์ โดยตรง ก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก เพราะแผ่น CD เพลงทั่วไป ไม่ได้รองรับ การเล่นเพลง แบบ 3 มิติ เท่าไหร่ ปัจจุบัน ดูเหมือนว่า มาตรฐาน ของระบบเสียง 3 มิติ จะโอนเอียงมาทางฝั่งไมโครซอฟต์ หลังจาก ที่ไมโครซอฟต์ ใช้ Windows มาเป็นกรอบในการสร้างมาตรฐานต่างๆ ดังนั้น สิ่งที่เรา ต้องดูพื้นฐาน นั่นก็คือรอบรับมาตรฐาน Direct Sound 3 D หรือไม่ จากนั้นจึงมาดูกันว่า เทคโนโลยีระบบเสียง 3 มิติ ตัวใดกันบ้างที่เราควร จะหยิบมาพิจารณา 

                    A3D
                     ถือได้ว่า เป็น มาตรฐาน ระบบเสียง 3 มิติ ที่มี ผู้ให้การยอมรับ มากที่สุด มาตรฐานหนึ่ง ซึ่งพัฒนาโดย Aureal Semiconductor ตัวอย่าง ของ Card เสียง ที่รองรับ มาตรฐานนี้ นั่นคือ Vortex 2 ( ราคาประมาณ 4,000 บาท ) ที่ใช้สนับสนุน A3D 2.0 โดยมีคุณสมบัติเด่นๆ คือ การสังเคราะห์เสียง แบบ occlusion ( ลักษณะ เหมือนกำแพง เสียงสะท้อน ของวัตถุ ที่เคลื่อนที่ ผ่าน ) และ wavetracing ( คือการสังเคราะห์เสียง แบบ wave table ในสภาวะแบบ 3 D ที่ให้ความสมจริง และถูกต้อง ของเสียงสะท้อน หรือตำแหน่ง ของเสียง ) มาตรฐาน A3D นี้ ได้รับการยอมรับ อย่างสูง จากผู้พัฒนาเกมส์ ทั้งหลาย เนื่องด้วย ความสามารถ ในการสังเคราะห์เสียง แบบ 3 มิติ ที่สมจริง ของมันนั่นเอง และที่สำคัญ มันยังสามารถ สังเคราะห์เสียง ด้วยเทคโนโลยี HRTF นั่นคือ การสร้าง ตำแหน่งของเสียง ให้เกิดขึ้น รอบๆ ตัวผู้ฟัง โดยที่ ใช้ลำโพง แค่ 2 ตัวเท่านั้น ( แต่เดิม เพื่อให้ได้ อรรถรส ที่สมจริง เช่นนี้ จะต้องวางลำโพง ไว้รอบตัวผู้ฟัง ในลักษณะ 5+1 ตัว )

                    EAX
                    เป็นการ ทวงตำแหน่ง มาตรฐานเสียง แบบ 3 มิติคืน หลังจากที่ ผู้นำ ในวงการ อย่าง Creative ต้องเพลี่ยงพล้ำ ให้กับ Aureal ในยุคต้นๆ ของการแข่งขัน มาตรฐาน เสียง 3 มิติ จนทำให้ ทาง Creative ต้องปฏิวัติ เทคโนโลยี Sound Blaster เสียใหม่ และนำเอา มาตรฐาน EAX เข้ามา เพื่อเรียก ความเชื่อมั่นคืนมา ปัจจุบัน Card เสียง รุ่นใหม่ๆ ของ Creative จะสนับสนุน มาตรฐาน EAX แทบทั้งสิ้น อย่าง Sound Blaster Live และ Live Platinum ( ราคาเริ่มต้นที่ สองพันกว่า ไปจนถึง เก้าพันบาท แล้วแต่รุ่น ) ในยุคแรก ของ EAX 1.0 ถือว่า ยังไม่โดดเด่น มากนัก เพราะยัง ไม่สามารถ ให้พลังเสียง และมิติของเสียง ได้ดีนัก แต่จนถึงตอนนี้ ด้วย EAX 3.0 ที่สามารถ สังเคราะห์เสียง เช่นเดียวกับ HRTF ที่สามารถ ให้มิติ ตำแหน่ง และทิศทางของเสียงได้ ด้วยลำโพงแค่ 2 ตัว หรือแม้แต่ ด้วยหูฟัง เท่านั้น ทำให้ ชื่อเสยงของ Creative เริ่มกลับคืนมา มากขึ้น

                    Sensaura
                    ถือเป็น มาตรฐาน เก่ากี่ที่สุด มาตรฐานหนึ่ง ของการสังเคราะห์เสียง ที่สามารถแสดง มิติของเสียงได้ จริงๆ แล้ว Sensaura วางมาตรฐานเอาไว้ ก่อน Sound Blaster เสียอีก ด้วย การแนะนำ ระบบเสียงแบบ Stereo ในยุค 1930 แต่พอ ข้ามมาสู่ ความเป็นดิจิตอล ดูเหมือนว่า Sensaura จะต้องเพียงพล้ำ ให้กับ ผู้มาใหม่ ทั้ง Sound Blaster และ Aureal Audio แต่จนถึงตอนนี้ ด้วยการปรับตัว ครั้งล่าสุด ดูเหมือนว่า Sensaura ก็สามารถ เรียกความเชื่อมั่น กลับคืนมาได้ อีกครั้งหนึ่ง สำหรับ คุณภาพของเสียงนั้น ไม่ด้อยไปกว่า EAX และ A3D เลย เนื่องจาก ความสามารถ ในการ วางตำแหน่ง และมิติของเสียง ที่มีมาก่อนแล้ว ในมาตรฐานเสียงแบบ Stereo ในขณะเดียวกัน ยังมีจุดเด่นอีกประการ นั่นคือ การรองรับ มาตรฐาน Direct Sound 3D อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้พัฒนา มีต้นทุนในการผลิต ที่น้อยกว่า ปัจจุบัน เราพบว่า Card เสียงจาก Yamaha ส่วนใหญ่ จะรองรับ มาตรฐาน Sensaura ทั้งสิ้น

          2. การสร้างเสียงออกไปยังลำโพง เทคนิคการสร้างเสียง 3 มิติด้วยลำโพง เพียงคู่เดียวนั้นเป็น เทคนิค ที่นิยม ใช้กันมากที่สุด โดยยืมเอา หลักการ สังเคราะห์เสียง แบบ HRTF มาใช้ จริงๆ แล้ว มันก็สามารถ ทำงานได้อย่างน่า ประทับใจ ด้วยความสามารถ ในการกำหนดทิศทาง และตำแหน่งของเสียง ได้อย่างใกล้เคียง กับบรรยากาศจริงๆ ( เช่น เหมือนมี เสียง คนเดินอยู่ ข้างหลัง หรือข้างๆ ตัวเราจริงๆ ) แต่หากคุณ ต้องการ อรรถรส ในความบันเทิง และความสมจริง ที่มากขึ้นไปอีก ก็คงต้อง ลงทุนเพิ่มขึ้น ด้วยการเลือกหา Sound Card ที่สนับสนุน มาตรฐาน Dolby AC-3 นั่นหมายความว่า Sound Card ของคุณ จะสามารถ สังเคราะห์เสียง ผ่านลำโพง ได้ถึง 5 + 1 ตัวเลยทีเดียว ( ลำโพง 5 ตัว + Subwoofer อีก 1 ) แต่คุณ ต้องไม่ลืมด้วยว่า การลงทุน เพื่อแลกมาด้วย ระบบเสียง ระดับ High End นี้ จะต้องแลกมาด้วย ต้นทุน ที่สูงอย่างมาก ( เกือบซื้อเครื่องใหม่ ได้เลย ) นั่นคือ แค่ Sound Card ตัวเดียว ก็ตกราคา 7 - 9 พันบาท บวกลำโพง อีกประมาณ 10,000 บาท ดังนั้น หากคุณไม่ใช่ คอเกมส์ ขนาดแท้ หรือ มีเงิน เหลือในกระปุกเยอะๆ แล้ว คงไม่ต้องลงทุน ถึงขนาดนั้น

          3. เลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน เนื่องจาก Sound Card ก็เช่นเดียวกับ อุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งมีหลายรุ่นออกมา เพื่อรองรับ กลุ่มลูกค้า และความต้องการ ใช้งานที่หลากหลาย แตกต่างกันไป ดังนั้น เราจึงควรดูว่าระดับ การใช้งานของเรา เป็นเช่นไร หากเลือกซื้อ Sound Card เพื่อไปใช้งาน กับคอมพิวเตอร์ใน office แล้ว เราคงไม่ต้องการ ศักยภาพ ในด้านของการสร้างเสียงแบบ 3 มิติที่ให้ เสียงกระหึ่ม และมีความสมจริง เท่าไหร่นัก นัก แต่ที่ ต้องการนั่นคือ การ์ดเสียงคุณภาพ ปานกลาง ที่สามารถสร้างเสียง ให้เพียงพอ ต่อการฟังเพลง หรือสังเคราะห์เสียง เบื้องต้น เท่านั้น อย่างการ์ด Addonic SV1550 ซึ่งใช้ Chip ของ Yamaha ที่ราคา 715 บาท หรือ Creative SoundBlaster Vibra 128 ที่ราคา 805 บาท หากต้องการ การ์ดเสียง ที่สร้างเสียงให้มีมิติ ที่กว้างและสมจริงเพื่อรองรับ การเล่มเกมส์รุ่นใหม่ๆ แล้ว คงต้องเลือก การ์ดเสียง ที่มีราคา สูงขึ้นมาอีก อย่าง Creative SoundBlaster Live! Value ที่ราคา 2,195 บาท หรือ Diamond Monster Sound MX300 และ MX400 ที่ราคา 3,150 และ 3,350 บาท ตามลำดับ แต่หากต้องการ การ์ดเสียงในระดับ High End ที่รองรับระบบเสียงแบบ Dolby AC-3 คงต้องเป็น Creative SoundBlaster Live Platinum ซึ่งจะให้ความสมจริง มากยิ่งขึ้น แต่ก็คง ต้องแลก ด้วยราคา ที่สูงกว่าเท่าตัว มีข้อแนะนำ เล็กน้อย สำหรับคอเพลง ทั้งหลาย ที่ไม่มุ่งหวัง การเล่นเกมส์ เท่าไหร่นัก กลุ่มผู้ใช้ระดับนี้ ควรเลือกใช้ การ์ดเสียง ระดับปานกลาง จะเหมาะสมกว่า เพราะว่า Card ที่ราคา ไม่ถึงพันบาทนั้น จะสังเคราะห์เสียง ได้ไม่ดี เท่าที่ควร จริงอยู่ ที่ว่า สามารถ เล่นเพลง ในระบบ Stereo ได้ แต่ความไพเราะ หรือความสมจริง ของเส้นเสียง และเครื่องดนตรี จะยังไม่ถึงขั้นมืออาชีพ

          4. ทดสอบด้วยการฟัง นอกเหนือจาก วิธีต่างๆ ข้างต้นแล้ว การทดสอบ ด้วยหู ของเราเองนั้น จะดีที่สุด เนื่องจาก ความชอบ ของแต่ละคน แตกต่างกันไป บางครั้ง เสียงที่ได้ จากการ์ดเสียง ยี่ห้อนี้ เราอาจจะฟัง แล้วว่าไม่ดี แต่บางคนว่าดี แต่ในอีกรุ่น ที่เค้าไม่ค่อยชอบกัน เรากลับ ประทับใจมากกว่า และที่สำคัญ ไม่ใช่ว่า ราคาแพงกว่า จะดีเสมอไป เราควรทดสอบ ด้วยการฟังด้วยว่า เราชอบเสียงแบบนี้ หรือไม่ ซึ่งไม่แน่ว่า การ์ดเสียง ที่ราคาถูกกว่า สักสองสามร้อยบาท อาจให้เสียง ที่เราถูกใจกว่าก็ได้ แต่โอกาส ในการทดสอบ ด้วยการฟังเองนั้น อาจจะยากสักหน่อย เนื่องจาก คงไม่ค่อยมีผู้ขาย มานั่งต่อการ์ดเสียง ให้เราฟัง เราอาจจะฟัง จากเครื่อง ของคนที่เรารู้จัก หรือใช้การ สอบถาม จากคนอื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น